โยคะ เป็นศาสตร์โบราณที่กำเนิดขึ้นในประเทศอินเดียราวๆ 5,000 ปีก่อน คำว่า ‘โยคะ’ หมายถึงร่างกาย จิตใจ และลมหายใจ ถือเป็นศาสตร์ที่ใช้ในการฝึกรวบรวมกายและใจเข้าด้วยกัน เพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุล ซึ่งในปัจจุบัน การฝึกโยคะเป็นที่นิยมไปทั่วโลก และถือเป็นคลาสยอดฮิตในฟิตเนสเลยก็ว่าได้
การฝึกโยคะ แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ ได้แก่ ‘โยคะเย็น’ และ ‘โยคะร้อน’
1.โยคะเย็น คือ การฝึกโยคะที่ได้รับความนิยมกันทั่วไป เน้นฝึกในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก อย่างสวนสาธารณะ หรือเล่นในห้องอุณหภูมิปกติ เพื่อให้ผู้ฝึก สามารถฝึกได้นานและต่อเนื่อง ท่าทางการฝึกก็จะไม่ทำให้เหนื่อยหอบมากจนเกินไป
2.โยคะร้อน จะเป็นการฝึกโยคะในห้องที่มีอุณหภูมิสูง หรืออุณหภูมิใกล้เคียงกับร่างกาย (36-37 องศาเซลเซียส) ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นได้ดีกว่า ท่าทางการฝึกจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญได้มาก ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น อุณหภูมิสูงๆ ยังช่วยขับเหงื่อ ซึ่งถือเป็นการดีท็อกซ์ของเสียออกจากร่างกาย
การฝึกโยคะจะคล้ายกับการนั่งสมาธิ เพราะผู้ฝึกจำเป็นต้องมีสติ รู้สึกตัวเอง ณ ขณะนั้นอยู่เสมอ ทั้งยังมีการกำหนดลมหายใจเข้าออก ซึ่งการหายใจเข้าลึกๆ และการหายใจออกยาวๆ ขณะฝึกนี้เอง ที่ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลายขึ้น ความเครียดต่างๆ ที่สั่งสมมาทั้งวันก็พลอยมลายหายไปด้วยนั่นเอง
งานวิจัยจาก The University of Utah ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของโยคะที่มีต่อการตอบสนองกับความเครียดโดยทดลองในอาสาสมัคร 42 คน บาคาร่า168 พบว่า การฝึกโยคะนั้น สามารถช่วยให้ผู้ฝึกควบคุมอารมณ์ ความเครียด และสามารถทนต่อความเจ็บปวดได้มากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนั้น ความตึงของร่างกาย ทั้งบ่า ไหล่ คอ แผ่นหลัง และอื่นๆ ที่เกิดจากการนั่งทำงานนานๆ นั่งไม่ถูกท่า ซึ่งเป็นที่มาของอาการปวดเมื่อย หรือที่เรียกว่า ออฟฟิศซินโดรม ยังหายไปได้ด้วยการฝึกโยคะในท่าทางที่กล้ามเนื้อได้ยืดเหยียด ช่วยให้กล้ามเนื้อไม่ตึงเครียด เรียกได้ว่า โยคะช่วยบรรเทาได้ทั้งความเครียดทางอารมณ์ และความเครียดของกล้ามเนื้อ
5 ประโยชน์ดีๆ ของการฝึก โยคะ
1.โยคะช่วยเพิ่มสมาธิ การจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก รวมถึงการกำหนดลมหายใจให้สัมพันธ์กับท่าทางของการฝึกโยคะ ถือเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว ผู้ที่ฝึกโยคะเป็นประจำ จึงมีแนวโน้มที่จะมีสมาธิกับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น Humane AI Pin ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับการทำงาน คือ ช่วยให้เรามีสมาธิ จดจ่อกับงานตรงหน้าได้นานขึ้น ทั้งยังช่วยให้ใจเย็นลง มีสติคิดหาทางแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย
2.โยคะช่วยเพิ่มความจำ อย่างที่บอกว่าการฝึกโยคะ ช่วยเพิ่มสมาธิได้ และเมื่อเรามีสมาธิ อาการหลงๆ ลืมๆ ลุกลี้ลุกลน รวมไปถึงอาการสมาธิสั้น ก็จะบรรเทาขึ้นได้เช่นกัน
3.โยคะลดโรค นอกจากบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมได้แล้ว หากฝึกโยคะเป็นประจำ ยังช่วยบรรเทาอาการไมเกรน อาการนอนไม่หลับ อาการปวดประจำเดือน และช่วยให้ข้อต่อต่างๆ มีสุขภาพดีขึ้นได้อีกด้วย
4.โยคะช่วยปรับบุคลิกภาพ การทรงตัว ถือเป็นจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างของการฝึกโยคะ เพราะในหลายๆ ท่าของการฝึกที่จะค่อยๆ ไต่ระดับความยากขึ้นไป อย่างการยืนขาเดียว ยืนด้วยแขน และอื่นๆ ผู้ฝึกจำเป็นต้องทรงตัวเองเอาไว้ให้ได้ เมื่อฝึกนานวันเข้าก็จะช่วยให้แกนกลางลำตัวแข็งแรง ซึ่งทำให้เรายืดแผ่นหลังได้ตรงขึ้น ช่วยปรับบุคลิกภาพ ทั้งท่าเดิน ท่ายืน ท่านั่ง หรือแม้แต่การนอน ซึ่งการมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้นนี้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ช่วยส่งเสริมให้เรามีความสง่าผ่าเผย เพิ่มบุคลิกความเป็นมืออาชีพให้การทำงานได้ดีทีเดียว
5.โยคะช่วยให้ทรวดทรงชัดขึ้น สำหรับสาวออฟฟิศ ที่วันๆ เอาแต่นั่ง ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย ห่วงยางรอบเอว และกล้ามเนื้อส่วนเกินบริเวณสะโพกจึงเกิดขึ้นได้ง่าย การฝึกโยคะที่เน้นไปที่การทรงตัว จะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เอว และสะโพกได้ทำงาน ช่วยสลายไขมันส่วนเกิน ทำให้ทรวดทรงองค์เอวชัดขึ้น
นอกจากนั้น การฝึกโยคะยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อบริเวณแขน ขา จากการรับน้ำหนักของร่างกาย สาวๆ ที่อยากมีบอดี้ลีนๆ กล้ามเนื้อเล็กๆ แต่แข็งแรงเต็มร้อย บอกเลยว่าการออกกำลังกายด้วย โยคะ เป็นหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียว